หน้าหลัก > สาระรอบรู้ > "ทำไม? ควรทานอาหารเสริม"
"ทำไม? ควรทานอาหารเสริม"
"ทำไม? ควรทานอาหารเสริม"
30 Jan, 2024 / By bode
Images/Blog/wCCb5NDZ-SUPPLEMENT_Web_Mobile copy.jpg

"ทำไม? ควรทานอาหารเสริม"

มีความเข้าในผิดกันอย่างแพร่หลายในเรื่องของอาหาร และโภชนาการ มีคำพูดที่กล่าวเสมอว่า: อาหารอเมริกันสมัยใหม่ เป็นอาหารที่ดีที่สุด มีทั้งคุณค่าทางโภชนาการ และดีต่อสุขภาพ เราไม่จำเป็นต้องได้รับอาหารเสริม (วิตามิน หรือ เกลือแร่) เพิ่มเติมตราบใดก็ตามที่เรารับประทาน “อาหารที่ดี”

คำว่า “อาหารที่ดี” ไม่ได้เป็นคำที่มีความหมายชัดเจน เราได้รับรายการอาหารประเภทต่าง ๆ มากมาย ทั้งนักเขียนทางโภชนาการ คอลัมน์ทางการแพทย์ต่าง ๆ นิตยสารของสตรี และโฆษณาทางโทรทัศน์ ต่างกล่าวว่า “ถ้าคุณทานอาหารแค่บางอย่างเหล่านี้ได้ทุก ๆ วัน สุขภาพก็จะดีเอง”

หากอาหารของชาวอเมริกันเป็นทุกสิ่งที่เราต้องการแล้วทำไมเราถึงยังต้องเผชิญกับโรคภัยเรื้อรังอันน่ากลัวกันอยู่

มีบทความโต้แย้งอย่างรุนแรงต่อคำกล่าวที่ว่าเราไม่ต้องการอาหารเสริมปรากฏอยู่ในวารสาร AmericanJournal of Digestive Diseases (March 1953) โดยนายแพทย์มอร์ตัน เอส บิสไคน์, M.D. แพทย์และนักวิจัยที่ทำงานอย่างรอบคอบคนหนึ่ง แม้เวลาจะผ่านไปเนิ่นนานแล้ว แต่คำกล่าวของเขาก็ยังคงเป็นความจริง ข้อโต้แย้งของเขาชัดเจน และเป็นที่น่าเชื่อถือมากในตอนที่ได้ถูกนำเสนอในครั้งแรก

เรายังไม่สามารถแยกแยะส่วนประกอบที่สำคัญในอาหารออกมาได้ทั้งหมด

“แนวความคิดที่ผิดๆ ได้เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก” ดร.บิสไคน์ กล่าว “ความเข้าใจผิดที่เห็น ได้ทั่วไปอย่างหนึ่งก็คือ ความคิดที่ว่าเรารู้จักส่วนประกอบที่สำคัญ ๆ ทั้งหมดในอาหารแล้ว ซึ่งสารอาหารต่างๆ ที่เรารู้จัก เหล่านั้นยังไม่ได้มีนัยที่สำคัญต่อโภชนาการของมนุษย์เลย ท่าทีที่อนุรักษ์อย่างสุด ๆ ของคณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐฯ ที่ต้องการให้ระบุไว้บนฉลากของวิตามิน เกี่ยวกับวิตามินที่กล่าวได้ว่ายังไม่ได้รับการศึกษาอย่างเพียงพอในด้านโภชนาการของมนุษย์นั้น ยิ่งเป็นการไปสนับสนุนความคิดที่ว่า การได้รับวิตามินบริสุทธิ์อื่น ๆ ที่ถือว่ามีความ ‘สำคัญ’ นั้นก็เป็นการเพียงพอสำหรับการบำบัดด้านโภชนาการแล้ว” ผู้บริโภคนั้นเขาต้องการทราบว่าแล้วทำไมวิตามินและเกลือแร่อีกหลายอย่างที่ระบุไว้บนฉลากอาหารเสริมจึงยังคงเขียนไว้แค่ว่า “ยังไม่ได้กำหนดปริมาณความต้องการด้านโภชนาการของมนุษย์ในสารอาหารชนิดนี้” (Need for in human nutrition is not established) นี่แหละ คือสิ่งที่ดร.บิสไคน์ หมายถึงสารอาหารอะไรก็ตามที่ยังไม่ได้รับการศึกษามาเป็นเวลานานปี และไม่ได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการว่าจำเป็นสำหรับชีวิตในปริมาณมากน้อยแค่ไหน จะถูกเขียนไว้บนฉลากว่า “ยังไม่ได้กำหนดปริมาณความต้องการ” ในฐานะสิ่งที่จำเป็นต่อโภชนาการในมนุษย์แต่อย่างใด (ทั้งๆ ที่มันอาจจำเป็นก็ได้)

การขาดสารอาหารเพียงอย่างเดียวเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้

ดร.บิสไคน์ กล่าวว่า ยิ่งไปกว่านั้นผู้เชี่ยวชาญที่กำลังพูดกันถึงเรื่องโภชนาการต่างๆ ปฎิเสธที่จะพูดคำกล่าวประเภทที่ว่า ผู้ป่วยขาดวิตามินชนิดใดชนิดหนึ่ง อย่างเช่น “ขาดไทอามีน” หรือ “ขาดไรโบฟลาวิน” เป็นต้น เพราะคำกล่าวเหล่านี้เป็นคำกล่าวที่ผิดอย่างสิ้นเชิง เรื่องพวกนี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากสาเหตุง่ายๆ เพียงแค่นี้ ในการทดลองในห้องทดลองกับสัตว์ทดลองมากมายนั้น อาจทำโดยการให้สัตว์กินอาหารที่ปราศจากวิตามิน จากนั้นก็ค่อยนำเอาวิตามินที่รู้จักกันทั้งหมดกลับไปให้สัตว์กิน ยกเว้นไทอามีน อาการใดๆ ก็ตามที่เกิดขึ้นก็จะถูกกล่าวว่าเกิดมาจากการขาดไทอามีนอย่างแน่นอน แต่ก็ยังรวมไปถึงวิตามินที่เรายังไม่รู้จักอีกด้วย

เมื่อขาดไทอามีนแล้วก็ทำให้สารอาหารสูญเสียไปจากคลังเก็บในร่างกายด้วย ในที่สุดอาการที่เกิดขึ้นก็จะเกิดเนื่องจากการ ขาดสารอาหารทั้งที่เรารู้จักและไม่รู้จักเหล่านี้รวมกัน

“ในมนุษย์แล้วมีความเป็นไปได้แค่ไหนที่การขาดสารอาหารเพียงอย่างเดียวจะเกิดขึ้น” ดร.บิสไคน์กล่าว “ไม่เพียงแต่จะ ขาดสารอาหารหลายอย่างเท่านั้น แต่การให้สารอาหารเพียงอย่างเดียว หรือแม้แต่รวมกันสักสองสามอย่าง ก็ยังอาจนำไปสู่การเสียสมดุลของโภชนาการ อย่างรุนแรงได้ แล้วยังนำไปสู่อาการขาดวิตามินอย่างอื่นตามมา” นั่นก็คืออาการขาดสารอาหารชนิดใหม่ที่จะเกิดขึ้นนั่นเอง

ดร.บิสไคน์ กล่าวต่อไปว่า เป็นเวลาหลายปีมาแล้วที่นักค้นคว้าต่างพากันหาวิธีการบำบัดที่สมบูรณ์ ที่จะสามารถให้สารอาหารต่างๆ ทั้งหมด รวมทั้งสารอาหารจำเป็นที่ยังไม่รู้จักทั้งหมดแก่ผู้ป่วยได้ ดร.ทอม สปีส์ ผู้ที่ทำงานด้านโภชนาการ ที่มีชื่อเสียงคนหนึ่ง เมื่อหลายปีก่อนได้แนะว่า “สูตรพื้นฐาน” ซึ่งประกอบขึ้นด้วยวิตามิน บี ชนิดต่างๆ ที่เป็นที่ทราบกันแล้วในช่วงเวลานั้น รวมกับอาหารจากแหล่งธรรมชาติที่มีวิตามินหลายอย่างที่ยังไม่เป็นที่รู้จัก สามารถนำมาให้แก่คนไข้ได้ซึ่ง ดร.บิสไคน์ กล่าวว่า ไปๆ มาๆ สูตรพื้นฐาน นี้กลายเป็นสิ่งที่ประชาชนคิดว่ามันเป็น “สูตรสมบูรณ์” ไปเสียแล้ว แล้วกลายเป็นว่ามันถูกนำมาให้แก่คนไข้เพิ่มเติมเพียงอย่างเดียวพร้อมกับอาหารที่ทานกันตามปกติ ได้แผ่ขยายวงกว้างออกไปอย่างรวดเร็วว่า สูตรพื้นฐานนี้มีวิตามินที่สำคัญทั้งหมดอยู่ในนั้น ดร.บินไคน์ เองก็ได้เขียนเอาไว้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า มีอาการหลายอย่าง ที่ไม่ตอบสนองต่อสูตรที่ว่านี้แต่อย่างใด แต่อาการก็สามารถดีขึ้นมาได้เพียงแค่ข้ามคืนโดยการให้อาหารบางอย่างนอกเหนือจากนั้น ซึ่งก็รวมไปถึงวิตามินที่เรา ยังไม่ค้นพบเข้าไป “อย่างเช่นเพียงแค่เพิ่มผงตับ หรือส่วนของตับที่เหมาะสมเข้าร่วมในการรักษาอย่างสม่ำเสมอก็ทำให้ได้ผลที่ดีขึ้นมาก และยืนยาวภายในเวลาเพียงไม่กี่วัน” เขากล่าว

ความเข้าใจที่ผิดยังคงมีต่อมาว่า อาหารของชาวอเมริกันโดยเฉลี่ยมีส่วนประกอบที่จำเป็นในด้านโภชนาการอยู่ครบทั้งหมด ซึ่งความจริงกลายเป็นว่า เวลาเกิดการขาดสารอาหารขึ้นมาแล้วจะต้องรักษา กลับมีสาเหตุมาจากอาหารที่จัดว่าเป็น “อาหารที่ดี” นี่เอง

การไม่ได้รับสารอาหารอย่างเต็มที่จากอาหารที่รับประทานเข้าไป

เกี่ยวกับความเข้าใจผิดที่ว่า อาหารสามารถให้สารอาหารที่ต้องการได้ทั้งหมดนั้น ดร.บิสไคน์ ได้ชี้ประเด็นต่างๆ ไว้ 6 ประเด็นดังต่อไปนี้

  • 1. ดินที่เคยปลูกพืชผักต่างๆ นั้น พร่องสารอาหารไปทำให้มีสารอาหารต่างๆ ลดลง
  • 2. มีการใช้ย่าฆ่าแมลงที่เป็นพิษกับพืชผักต่างๆ ที่ปลูกมากขึ้น ทำให้เกิดสารตกค้างที่อันตรายในอาหาร และยังไปฆ่าจุลชีพที่มีประโยชน์ในดิน และไส้เดือนไปอีกด้วย
  • 3. มีการเก็บเกี่ยวพืชผลก่อนที่มันจะสุกโดยธรรมชาติมากขึ้นเพื่อที่จะได้มีการเน่าเสียน้อยลง ปัจจุบันเรารับประทานอาหารที่สุกจากไร่น้อยลง ซึ่งการสุกนี้มีความจำเป็นที่จะทำให้เราได้รับสารอาหารต่างๆ ในอาหารได้อย่างเต็มที่
  • 4. อาหารผ่านกระบวนการต่างๆ มากขึ้น ทั้งการใช้สารเคมีในอาหาร สี เคลือบขี้ผึ้ง สารทำความสะอาด สารที่ทำให้น้ำกับน้ำมันผสมกลมกลืนกัน (emulsifiers) สารกัดสี เป็นต้น
  • 5. มีการใช้น้ำตาลซึ่งปราศจากวิตามินโดยสิ้นเชิง โดยเฉลี่ยถึงหนึ่งในสี่ของแคลอรี่ที่เราได้รับ
  • 6. มีการใช้สารเคมีเติมเข้าไปมากขึ้น เช่น ไขมันเทียม หรือสารชนิดอื่นที่คล้ายคลึงกัน ซึ่งอาจเป็นพิษและหลายอย่างก็เข้าไปแทนที่ส่วนประกอบที่จำเป็นในอาหาร

ชาวอเมริกันแต่ละคนบริโภคน้ำตาลราวปีละ 100 ปอนด์ ซึ่งแค่นี้เพียงอย่างเดียวก็พอจะชี้ให้เห็นแล้วว่าจะเกิดการขาด ไทอามีน และไรโบฟลาวิน (ซึ่งอยู่ในกลุ่มวิตามิน บี) ราว .25 มิลลิกรัม ซึ่งในแต่ละปีก็จะทำให้เกิดการขาดวิตามิน บี ที่สำคัญสองชนิดนี้ อย่างละ 90 มิลลิกรัม สำหรับไนอาซิน และวิตามิน บี ชนิดอื่นๆ การขาดจะมากกว่านี้ราว 10 เท่า “และสำหรับผู้ที่ไม่ใช้น้ำตาลใส่ลงในกาแฟ ซีเรียล หรือผลไม้ แล้วเชื่อว่าจะลดน้ำตาล ลงได้เหลือศูนย์ นี่ก็คิดผิดเช่นกัน เพราะซูโคส (น้ำตาล) นั้นมีอยู่ในอาหารที่ขายกันอยู่ทั่วไปอยู่แล้ว มีแม้กระทั่งในขนมปัง จึงยากที่จะหลีกเลี่ยง” ดร.บิสไคน์ กล่าว

 

 

Like
ความคิดเห็น (0)
ก่อนหน้า 1 ถัดไป