เทคนิคการดูแลผิวให้ดีอยู่เสมอ
14 Feb, 2018 / By
admin
"เทคนิคการดูแลผิวให้ดีอยู่เสมอ"
การทำให้ผิวสวยจากภายในสู่ภายนอก
ผิวที่สวยเริ่มจากข้างในออกมาและวิธีการดำเนินชีวิตจะทำให้ผลที่ได้ปรากฏสู่ภายนอกไม่ว่าคุณจะดูแลผิวดีเพียงใด หากรับประทานแต่อาหารจานด่วน หรือทำงานจนถึงเช้า สิ่งที่คุณจะได้รับจากพฤติกรรมเหล่านี้คือ ผิวที่บวมและหย่อนยานเป็นถุง ต่อไปนี้เป็นวิถีการดำเนินชีวิตพื้นฐานเพื่อผิวสวย
1. เคลื่อนไหวให้มากขึ้น ทำให้การไหลเวียนของโลหิตดีขึ้น การออกกำลังกายปานกลางจะช่วยกำจัดสารพิษยิ่งออกกำลังกายหนักยิ่งขึ้น เช่น ให้เหงื่อออกมากขึ้นจะช่วยทำความสะอาดรูขุมขน และทำให้ผิวเปล่งปลั่ง การออกกำลังกายที่ดีต่อผิวได้แก่ การเต้นรำ เทนนิส เล่นโยคะ และเดินเร็วในที่อากาศเย็น หรือในตอนเช้า เป็นต้น
2. นอนหลับให้ลึก ยิ่งนอนหลับได้ดีเท่าไรก็จะแสดงออกที่ผิวมากขึ้น เมื่อกล้ามเนื้ออ่อนล้าใบหน้าก็จะหย่อนยานและเหี่ยวแห้ง และความดันโลหิตก็จะลดลง มีเลือดไหลที่ใบหน้าน้อยลง ทำให้ผิวหนังดูไม่มีชีวิตชีวา ให้นอนหลับคืนละ 8 ชั่วโมง ในห้องที่ระบายอากาศได้ดี และทำความสะอาดหมอนบ่อยๆ
3. เลิกสูบบุหรี่ การสูบบุหรี่ทำให้เซลล์ผิวหนังไม่ได้รับออกซิเจน และสารอาหารอย่างเพียงพอ และทำให้ใช้เวลาที่ต้องรักษานาน กว่าปกติอย่างเห็นได้ชัด ถ้าคุณเป็นคนสูบบุหรี่ค่อนข้างหนักเป็นเวลาหลายๆ ปี แน่นอนได้เลยว่าจะเกิดริ้วรอยขึ้นรอบปาก ซึ่งยากต่อการลบเลือน วิธีรักษาที่ดีที่สุดคือ งดบุหรี่เสียแต่เนิ่นๆ
4. ลดความเครียดลง อาการกลุ้มอกกลุ้มใจเสมอๆ จะแสดงออกบนใบหน้าอย่างรวดเร็ว ความเครียดจะเพิ่มอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นสาเหตุ หลักของริ้วรอยก่อนวัยอันควร และทำให้เกิดปัญหาบนใบหน้าต่าง ๆ เช่น สิว ลมพิษ โรคผิวหนัง สะเก็ดเงิน และอารมณ์ที่ไม่ดีทำให้หน้านิ่วคิ้วขมวด หรือเกิดความเครียดทั่วไปบนใบหน้า เกิดการหดตัวเป็นเวลาติดต่อกันนาน ๆ แล้วในที่สุดก็จะกลายเป็นรอยย่นถาวร จึงควรปฎิบัติตนให้ไม่เครียดอยู่เสมอ โดยการทำสมาธิ หายใจลึกๆ ออกกำลังกาย มองโลกในแง่ดี เป็นต้น
ให้อาหารแก่ผิวหนัง
หากต้องการให้ผิวหนังเปล่งประกายให้มากที่สุด ก็ให้สารอาหารที่สะอาดและดีต่อสุขภาพ “สิ่งที่คุณทานเข้าไปจะมีผลต่อผิวอย่างรวดเร็ว” เป็นคำกล่าวของนายแพทย์ นิโคลาส เพอร์ริโคน M.D.,F.A.C.N. แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง และผู้แต่งหนังสือ The Wrinkle Cure (Warner Books, 2001) และ The Perricone Prescription (Harber Resource, 2002) “อาหารที่ไม่ดีทำให้เกิดการอักเสบไปทั่วร่างกาย” ซึ่งแสดง ออกทางผิวได้โดยทำให้ผิวหม่นหมอง รูขุมขนใหญ่ ริ้วรอยเล็กๆ และสีผิวไม่เท่ากัน
จากคำกล่าวของเพอร์ริโคน อาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตสูง ทำให้น้ำตาลในเลือดพุ่งขึ้นสูงอย่างรวดเร็วและทำให้ร่างกายตอบสนองด้วยอินซูลิน ซึ่งทำให้เกิดการอักเสบ และปัญหาของผิวหนัง ควรเน้นไปที่อาหารโปรตีนที่สะอาดอย่าง เช่น ปลา ไก่ ไก่งวง และถั่วเหลือง ผลไม้ต่างๆ เช่น เบอรี่ ผักสด และดื่มน้ำมากๆ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง “น้ำตาลและอาหารอะไรก็ตาม ที่จะเปลี่ยนเป็นน้ำตาลอย่างรวดเร็ว เช่น ขนมปัง พาสต้า ข้าวและมันฝรั่ง” เพอร์ริโคน กล่าว
ในขณที่การเริ่มต้นด้วยโภชนาการที่สมดุลเป็นสิ่งที่ดีที่สุด อาหารบางอย่างก็ช่วยให้ผิวสดใสด้วยดังต่อไปนี้:
- อย่าตัดไขมันออกเสียทั้งหมด ให้ทดแทนด้วยไขมันที่ดีต่อสุขภาพและผิวหนัง เช่น น้ำมันมะกอก น้ำมันคาโนล่า อะโวคาโด้ และถั่วต่าง ๆ เพื่อทดแทนไขมันอิ่มตัวจากสัตว์
- รับประทานปลา ราว 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ เพื่อให้ผิวหนังได้รับกรดไขมันโอเมก้า-3
- เน้นการรับประทานผลไม้และผัก อย่างน้อยสัปดาห์ละ 6-8 ครั้ง โดยเฉพาะผักสีส้ม หรือเขียวจัด
- ดื่มน้ำกรองที่สะอาด อย่างน้อยวันละ 2 ลิตร
พื้นฐานความสวยงามง่ายๆ 3 ประการ
การดูแลผิวที่ดีที่สุดจะใช้ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ น้อยมาก หากโปรแกรมการดูแลผิวของคุณต้องใช้เวลาในตอนเช้านานกว่า 5 นาที และตอนเย็นอีก 5 นาที แล้ว แสดงว่าเป็นโปรแกรมที่ซับซ้อนเกินไป ลองพยายามทำโปรแกรมง่ายๆ 3 ขั้นตอนต่อไปนี้เพื่อผิวที่สวยใส
1. ทำความสะอาด โดยใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้าที่มีค่า pH ต่ำ จะให้ดีควรเป็นชนิดที่ไม่ปรุงแต่งกลิ่นหอม หากผิวหนังแห้งควรใช้ชนิดที่มีน้ำมันจากพืช เช่น น้ำมันเนยจาก shea น้ำมัเนยโกโก้ และน้ำมันมะกอก หลีกเลี่ยงสบู่หรือผลิตภัณฑ์ที่เป็นฟองมากๆ ซึ่งมักจะมีส่วนผสม คล้ายยาทำความสะอาด ซึ่งเป็นอันตรายต่อผิว และกำจัดน้ำมันที่ปกป้องผิวออกไปด้วย
2. บำรุงผิว หลังล้างหน้า แล้วใช้น้ำยาปรับสภาพผิว (toner) ที่เหมาะกับผิวหน้าคุณ “น้ำยาปรับสภาพผิวเป็นส่วนหนึ่ง ของการทำความสะอาด” ลินดา อัพตัน รองประธานบริษัท Borlind ซึ่งเป็นบริษัทเกี่ยวกับการดูแลผิวในเยอรมันกล่าว “สำหรับผิวมัน น้ำยาปรับสภาพผิวจะทำให้เกิดสมดุลของ ไขมันที่ผลิตขึ้นมา สำหรับผิวที่ไวและแพ้ได้ง่าย ก็จะช่วยป้องกันความระคายเคืองจากสารที่อยู่ในสภาพแวดล้อม ส่วนผิวแห้งก็ต้องการชนิดที่เป็นเจลที่จะช่วยจับความชื้นไว้ ส่วนผิวที่แก่ ชราก็ต้องการชนิดที่มีสารแอนติออกซิแดนท์ผสมอยู่” และไม่ว่าผิวของคุณจะเป็นชนิดใดก็ตาม ให้หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีแอลกอฮอล์ ซึ่งจะทำให้ผิวแห้งและระคายเคือง
3. ใช้มอยสเจอไรเซอร์ การให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวหน้าเป็นประจำเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผิวที่มีสุขภาพดี “มอยสเจอไรเซอร์ที่ดีจะทำหน้าที่สองอย่าง” นายแพทย์ลอว์เรสซ์ เจ กรีน M.D. แพทย์เฉพาะโรคผิวหนัง และ เป็นผู้แต่งหนังสือ The Dermatologist’s Guide to Looking Younger (Crossing Press, 1999) กล่าว “ควรจะมีสารดูดความชื้นที่จะช่วยดึงความชื้นไปสู่ผิวหน้า และคอยกันไม่ให้สูญเสียความชื้นออกไป” ควรแน่ใจว่าผลิตภัณฑ์ที่ใช้สามารถป้องกันแสงอาทิตย์ได้ ซึ่งควรมีค่า SPF อย่างน้อย 15 และจำไว้ว่าผิวหนังไม่ได้มีถึงแค่คอเท่านั้น ความให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวส่วนอื่นๆ ทั่วร่างกายด้วย โดยเฉพาะบริเวณมือและเท้า
นอกเหนือไปจากพื้นฐานที่กล่าวแล้วข้างต้น ควรมีผลิตภัณฑ์ที่ใช้ กำจัดผิวที่หมดสภาพ (exfoliating product) เพื่อคอยกำจัดเซลล์ผิวที่ตายแห้งออกไป เพื่อให้ความชื้นเข้าสู่ผิวได้ดียิ่งขึ้น ให้ใช้สัปดาห์ละหนึ่งถึงสองครั้งแล้วแต่ชนิดของผิว แล้วใช้ มาส์ก สัปดาห์ละครั้ง เพื่อเพิ่มสารอาหาร รักษา และให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว หรือ ใช้โคลนหรือมาส์กชนิดโคลน สำหรับผิวมัน และควรทำสิ่งเหล่านี้อย่างง่ายๆ อย่าทำมากเสียจนการดูแลผิวกลายเป็นปัญหาเพิ่มเติมเข้ามาอีกแทนที่จะเป็นการแก้ไข
หลีกเลี่ยงแสงอาทิตย์
การหลีกเลี่ยงแสงอาทิตย์เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการดูแลผิว การทำให้ผิวเป็นสีแทนเป็นความคิดที่ผิดมาก “สิ่งที่เข้าใจผิดกันมากที่สุดก็คือคิดกันว่า การมีผิวสีแทนนั้นเป็นสิ่งปลอดภัย แต่ผิวไหม้นั้นเป็นสิ่งไม่ดี”
กรีนกล่าว “ความจริงก็คือว่า การมีผิวสีแทนก็ร้ายแรงพอๆ กับผิวไหม้ ทั้งคู่แสดงให้เห็นถึงความเสียหายจากแสงอาทิตย์” การรับแสงอาทิตย์นั้เป็นอันตรายต่อคอลลาเจน ซึ่งเป็นตัวค้ำจุนโครงสร้างของผิวหนัง ทำให้ผิวหย่อนยาน เป็นถุง และเหี่ยวย่น และความหมายของคำว่า “การเจอกับแสงอาทิตย์” ไม่ได้หมายถึงการนอนลง บนชายหาด และทาตัวด้วยน้ำมันเนยโกโก้ เพียงแค่วันละ 20 นาที ที่ต้องเดินกลางแสงอาทิตย์จากรถไปยังที่ทำงานวันละไม่กี่ครั้ง ก็สร้างความเสียหายให้แก่ผิวได้แล้ว
คำแนะนำที่ดีที่สุด : ทาครีมป้องกันแสงแดดทุกวัน ทาซ้ำหากต้องออกไปอยู่ข้างนอกนานกว่า 1 ชั่วโมง และเลือกผลิตภัณฑ์ที่ป้องกันรังสียูวีได้ทั้งชนิด UVA และ UVB และมีค่า SPF อย่างน้อย 15 นาที
การดูแลผิวเพิ่มเติม
ไม่ว่าโภชนาการ วิถีชีวิต และการดูแลผิวตามปกติของคุณจะดีอย่างไรก็ตาม การเข้าสปากันเป็นระยะๆ เพื่อดูแลผิวอย่างลึกเป็นพิเศษ และให้ความชุ่มชื้นเป็นพิเศษ แก่ผิวก็นับเป็นความคิดที่ดี แม้จะไม่มีเวลามากพอที่จะเข้าไปใช้บริการเต็มวันก็ไม่เป็นไร การใช้บริการแค่เดือนละครั้ง ซึ่งได้แก่การลอกผิวที่เสียหายออกไปจะช่วยให้ผิวเปล่งประกายมากขึ้น
เพื่อให้ได้ผลดีที่สุดจากการดูแลผิวประจำเดือน ควรคิดให้ดีก่อนว่าต้องการบริการอะไรจากเขา เช่น ให้นำผิวที่เสียออก หรือช่วยลดรอยช้ำที่ตา เป็นต้น เลือกไปใช้บริการในวันว่างและไม่มีอะไรต้องทำในวันนั้น โดยไม่ควรต้องกลับไปทำงานหรือออกไปทานอาหารเย็นหลังจากทำการบำรุงผิวหน้า ลอร่า ดูพรีสท์ เจ้าของร้านเลอร่า ดูพรีสท์ ซาลอน ในเมืองซาคราแมนโต้ มลรัฐคาลิฟอร์เนีย และเป็นผู้แต่งหนังสือ Natural Beauty (Prima Publishing 2002) กล่าว
หากการใช้บริการสปานั้นเกินงบประมาณของคุณก็สามารถดูแลผิวหน้าได้ด้วยตนเองที่ห้องครัวในบ้าน ดูพรีสท์ กล่าวว่า “ของสำคัญที่สุดเพียงอย่างเดียวที่ดิฉัน ใช้ดูแลผิว ก็คือ น้ำตาลและน้ำมันพืช เพียงลูบไล้เบาๆ บนใบหน้าหรือทั่วทั้งตัว” และอย่างอื่นที่ใช้ได้ก็เช่น ธัญพืช farina ร้อน ๆ (farina เป็นธัญพืชหลายๆ อย่างผสมกับพืชหลาย ๆ ชนิด ใช้ทำเป็นอาหารแบบซีเรียล หรือพุดดิ้ง หรือจะใช้อย่างอื่นแทนก็ได้เช่น คอร์นมีล โอ๊ตมีล หรือแฟล็กซ์มีล) แล้วนำมาผสมไข่แดงใช้ในการลอกผิวหน้าอย่างนุ่มนวลได้ แล้วใช้ครีมซอสมะเขือเทศ (tomato paste) ทาใบหน้าเพื่อเพิ่มสภาพกรดเล็กน้อย แล้วใช้น้ำมันพืชผสมกับไข่แดงและคอร์นมีล ขัดถูร่างกาย
อาหารเสริมช่วยได้
แม้จะมีการดูแลผิวเป็นประจำและโภชนาการที่ดีแล้ว ปัจจัยอื่นที่ยังมีอยู่ก็ได้แก่ มลพิษจากสิ่งแวดล้อม เกลือแร่ในดินที่ลดลง และความเครียดที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ \ เหล่านี้ล้วนแต่เป็นผลเสียต่อผิวหนัง วิธีแก้ก็คือ ใช้อาหารเสริมที่ดีต่อผิว และช่วยให้สารอาหารแก่ผิวจากข้างในออกมา เพอร์ริโคน กล่าวว่า “ในขณะที่โภชนาการ ที่ดีต่อสุขภาพ และสมดุลเป็นเสาหลักของผิวที่ดี การใช้อาหารเสริมก็จะเพิ่มการป้องกันให้อีกชั้นหนึ่ง” ซึ่งมีคำแนะนำดังนี้:
- Dimethylaminoethanol หรือ DMAE เป็นสารแอนติออกซิแดนท์ที่ทรงพลังที่พบได้ในปลา โดยเฉพาะปลาแซลมอน ช่วยให้ผิวดีขึ้น และสามารถป้องกันและรักษาผิวที่หย่อนยานได้ ปริมาณที่แนะนำ: วันละ 400 ถึง 600 มก.
- วิตามิน อี ในรูปสมบูรณ์ซึ่งจะมีส่วนผสมทั้ง โทโคทรินอล กับ โทโคเฟอรอล เป็นสารแอนติออกซิแดนท์ที่ป้องกันเซลล์บุเนื้อเยื้อ ปริมาณที่แนะนำ: วันละ 400 ถึง 800 หน่วยสากล
- โคเอ็นไซม์คิว 10 สารแอนติออกซิแดนท์ที่ทรงพลังช่วยกำจัดอนุมูลอิสระที่ทำลายผิวหนัง ปริมาณที่แนะนำ: วันละ 30 ถึง 300 มก.
- วิตามิน ซี ทั้งในรูปที่ละลายในน้ำ (Lascorbic acid) และละลายในไขมัน (sacorbylpalmitate) ล้วนช่วยในการผลิตคอลลาเจน และป้องกันความเสียหายจาก อนุมูลอิสระ ปริมาณที่แนะนำ: วันละ 1,000 มก. ในรูปแอสคอร์บิค แอซิด และ วันละ 500 มก. ในรูปแอสคอร์บิล พาลมิเตท
- อัลฟ่า ไลโปอิค แอซิด เป็นสารแอนติออกซิแดนท์ และต่อต้านการอักเสบ ยับยั้งการผลินเอนไซม์ที่ทำความเสียหายให้กับคอลาเจน ช่วยให้ผิวเรียบ ปริมาณที่แนะนำ : 200 มก. โดยแบ่งเป็นสองครั้ง (100 มก. ตอนอาหารเช้า และ 100 มก. ตอนอาหารเย็น)