หน้าหลัก > สาระรอบรู้ > "8 ข้อดีกับคุณประโยชน์จากน้ำมันปลาแซลมอน"
"8 ข้อดีกับคุณประโยชน์จากน้ำมันปลาแซลมอน"
"8 ข้อดีกับคุณประโยชน์จากน้ำมันปลาแซลมอน"
12 Feb, 2024 / By bode
Images/Blog/v9HTOZi0-8 Benefits Salmon copy.jpg

EPA กับ DHA คุณประโยชน์ที่มีอยู่ในน้ำมันปลาแซลมอน 

น้ำมันปลาแซลมอน เป็นที่รู้จักกันว่าเป็นแหล่งไขมันโอเมก้า 3 ที่อุดมสมบูรณ์ ซึ่งกรดไขมันโอเมก้า 3 ที่พบอยู่ในน้ำมันปลาแซลมอน ได้แก่ กรดไอโคซาเพนทาอีโนอิก (EPA) และกรดโดโคซาเฮกซอีโนอิก (DHA) โอเมก้า 3 เหล่า นี้ถือเป็น “กรดไขมันจำเป็น" ซึ่งหมายความว่าจำเป็นต้องได้รับจากอาหารเพราะ ร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นเองได้ การวิจัยได้เชื่อมโยงการบริโภค EPA และ DHA เข้ากับประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย อาทิเช่น ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ การทำงานของสมองที่ดีขึ้น และต้านการอักเสบ ซึ่งกรดไขมันจำเป็นทั้ง 2 ชนิดนี้ถูกค้นพบครั้งแรกในปี 1950 จึงไม่แปลกที่จะมีงานวิจัยเป็นจำนวนมากที่ทำ การศึกษาและค้นพบประโยชน์ที่มีอยู่ใน "กรดไขมันโอเมก้า 3" จากงานวิจัยที่เผยแพร่ในวารสารการแพทย์ Cancer and Metastasis Reviews ระบุว่า กรดไขมัน EPA และ DHA ที่พบอยู่ในกรดไขมันกลุ่มโอเมก้า 3 เมื่อเข้าสู่ ร่างกายแล้วจะถูกเปลี่ยนเป็น สารต้านอักเสบ (Resolvins) ที่มีคุณสมบัติในการออกฤทธิ์ต้านการอักเสบที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติของร่างกายได้ ดังนั้น น้ำมันปลา ที่มีกรดไขมันโอเมก้า 3 จึงมีส่วนช่วยลดการอักเสบ ลดความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะ การหายใจล้มเหลว และลดการสร้างสาร ไซโตไคน์ (Cytokine) ที่ก่อให้เกิดการอักเสบของปอดจากการติดเชื้อไวรัส ซึ่งเท่ากับเป็นการลดความเสี่ยงจากการเสียชีวิตจากการติดเชื้อรุนแรงลงได้

 1. ดีต่อหัวใจ 


โรคหัวใจเป็นสาเหตุสำคัญของการเสียชีวิตทั่วโลก จากการศึกษาแสดงให้เห็นว่าคนที่บริโภคน้ำมันปลาเป็นประจำมี อัตราการเป็นโรคหัวใจต่ำกว่า หลายปัจจัยเสี่ยงของโรคหัวใจที่ลดลงโดยการบริโภคน้ำมันปลา ได้แก่

  • คอเลสเตอรอล:    เพิ่มระดับคอเลสเตอรอล HDL ที่เป็นคอเลสเตอรอลดีได้
  • ไตรกลีเซอไรด์:    ช่วยลดระดับไตรกลีเซอไรด์ได้ประมาณ 15–30%
  • ความดันโลหิต:    ช่วยให้ความดันโลหิตลดลงทั้งความดันตัวบนและตัวล่าง ในผู้ที่มีความดันโลหิตสูงที่ยังไม่รุนแรงถึงขั้นต้องใช้ยา
  • คราบพลัค:    อาจป้องกันคราบพลัค (ไขมันที่เกาะอยู่ตามผนังของหลอดเลือด) ที่ทำให้หลอดเลือดแดงแข็งตัว เพิ่มความยืดหยุ่นของหลอดเลือด ป้องกันภาวะหลอดเลือดตีบและแตก

 2. ดีต่อสมอง 


DHA เป็นองค์ประกอบหลักของโครงสร้างเซลล์สมองที่ รับผิดชอบด้านความจำ ภาษา การเรียนรู้ ความคิดสร้างสรรค์ อารมณ์ และสมาธิ อีกทั้งยังช่วยเพิ่มการตอบสนองการทำงานของสมองในระดับสูงรวมถึงการตัดสินใจ จากการศึกษาพบว่าการรับประทานน้ำมันปลาเป็นประจำช่วย                 ในเรื่องความจำระยะสั้นและระยะยาวและเสริมสร้างพัฒนา การของสมองให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ  

 3. ดีต่อภูมิคุ้มกัน 


การบริโภคน้ำมันปลาที่มีโอเมก้า 3 เป็นประจำช่วยเสริมสร้างการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาวในร่างกาย ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันและต่อสู้กับโรคต่างๆ กรดไขมันโอเมก้า 3 ยังแสดงให้เห็นว่ามีผลต่อการทำงานของภูมิคุ้มกันโดย:

  • ควบคุมการแสดงออกของยีนในเม็ดเลือดขาว ซึ่งช่วยควบคุมการทำงาน ของภูมิคุ้มกันที่เหมาะสม
  • ลดการผลิตสารอักเสบที่สามารถทำลายระบบภูมิคุ้มกัน
  • ช่วยให้เซลล์ภูมิคุ้มกันติดต่อสื่อสารกันได้ดียิ่งขึ้น ส่งผลให้ระบภูมิคุ้มกันทำงานได้ดียิ่งขึ้น

 4. ดีต่อข้อต่อ 


การอักเสบเป็นวิธีการต่อสู้กับการติดเชื้อและรักษาอาการบาดเจ็บของระบบภูมิคุ้มกัน อย่างไรก็ตาม การอักเสบเรื้อรังเกี่ยวข้องกับการเจ็บป่วยที่รุนแรง เช่น โรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคซึมเศร้า และโรคหัวใจ การลดการอักเสบ สามารถช่วยรักษาอาการของโรคเหล่านี้ได้ เนื่องจากน้ำมัน ปลามีคุณสมบัติต้านการอักเสบ จึงอาจช่วยรักษาอาการอักเสบเรื้อรังได้ ตัวอย่างเช่น ในบุคคลที่มีความเครียดและเป็นโรคอ้วน น้ำมันปลาสามารถลดการผลิตและการแสดงออกของยีนของโมเลกุลการอักเสบที่เรียกว่า ไซโตไคน์ นอกจากนี้ อาหารเสริมน้ำมันปลายังช่วยลดอาการปวดข้อ ความตึง และความต้องการยาในผู้ที่เป็นโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ ซึ่งทำให้ข้อต่อเจ็บปวดได้อย่างมาก สรุป น้ำมันปลามีฤทธิ์ต้านการอักเสบที่รุนแรงและสามารถช่วยลดอาการ ของโรคอักเสบได้ โดยเฉพาะโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์

 5. ดีต่อผิว 


กรดไขมันโอเมก้า 3 จากน้ำมันปลาทั้ง EPA และ DHA เป็นส่วนประกอบสำคัญของเยื่อหุ้มเซลล์จึงช่วยรักษาน้ำและความชุ่มชื้นทำให้ผิวดูดีมีสุขภาพและมีบทบาทในการปกป้อง ตามธรรมชาติเพื่อป้องกันความเสียหายที่เกิดจากรังสียูวีจากดวงอาทิตย์โดยลดความรุนแรงของอาการผิดปกติบางอย่างของผิวที่มีความไวต่อแสงแดดได้ เช่น ผื่นที่ผิว หนังหรือตุ่มน้ำเมื่อสัมผัสรังสียูวีในผู้ที่แพ้แสงแดด มีคุณสมบัติต้านการอักเสบ อาจช่วยลดการเกิดสิวได้ ในงานวิจัยใหม่ๆ แสดงให้เห็นว่าสิวอาจเกิดจากการ อักเสบเป็นหลัก รวมถึงภาวะอื่นๆ เช่น อาการคัน ผื่นแดง หรือลอกเป็นขุย อีกทั้งอาจบรรเทาอาการของโรคผิวหนังได้หลายชนิด เช่น โรคสะเก็ดเงิน

 6. ดีต่อสายตา 


การรับประทานน้ำมันปลาที่ให้โอเมก้า 3 อยู่เป็นประจำนับเป็นวิธีที่ดีในการลดความเสี่ยงในการสูญเสียความสามารถในการมองเห็นที่เริ่มเสื่อมลงตามอายุ จากการศึกษาพบว่ากรดไขมันโอเมก้า 3 ช่วยบรรเทาอาการตาแห้ง เนื่องจาก โอเมก้า 3 ช่วยให้ต่อมไขมันที่อยู่บริเวณเปลือกตาที่ เรียกว่า ต่อมไมโบเมียน (Meibomian Gland) ที่มีหน้าที่สร้างน้ำมันหล่อลื่นดวงตาทำงานได้ดีขึ้น จากการศึกษาผู้หญิงจำนวน 32,000 คน พบว่าผู้ที่บริโภคไขมันโอเมก้า 3 จากปลามากที่สุดมีความเสี่ยงต่ออาการตาแห้งลดลง 17% เมื่อเทียบกับผู้หญิงที่ทานอาหารทะเลเพียงเล็กน้อยหรือไม่ทานเลย และ จากการศึกษาในวารสารจักษุวิทยานานาชาติ “The International Journal of Ophthalmology” สรุปว่ากรดไขมันโอเมก้า 3 “มีบทบาทที่สำคัญต่อโรคตาแห้ง”

 7. ดีต่อตับ 


ทุกวันนี้โรคตับพบได้บ่อย โดยเฉพาะโรคไขมันพอกตับที่ไม่ได้เกิดจากแอลกอฮอล์์ (NAFLD) ซึ่งในระยะยาวอาจก่อให้เกิดภาวะตับอักเสบ ตับแข็ง และอาจเพิ่มความเสี่ยงมะเร็งตับในอนาคตได้ จากงานวิจัยพบว่าน้ำมันปลาสามารถลด ระดับไตรกลีเซอไรด์ได้อย่างมีนัยสำคัญช่วยในการทำงาน                 ของตับและลดการอักเสบ ซึ่งอาจช่วยลดอาการของโรคไขมันพอกตับและระดับไขมันที่เข้าไปสะสมภายในตับลงได้

 8. ดีต่อจิตใจ 


อาการซึมเศร้าเป็นหนึ่งในความผิดปกติทางจิตที่พบบ่อยที่สุดในโลก อาการต่างๆ ได้แก่ ความเศร้า ความเซื่องซึมและการสูญเสียความสนใจในชีวิตโดยทั่วไป ซึ่งจะพบว่ามี ความวิตกกังวลและอาการอื่นๆ ต่อเนื่องและอาการไม่หายไป แต่ที่น่าสนใจคือจากการศึกษาระบุว่าผู้ที่บริโภคโอเมก้า 3 เป็นประจำมักไม่ค่อยมีอาการซึมเศร้า ยิ่งไปกว่านั้นผู้ที่มีภาวะซึมเศร้าหรือวิตกกังวลเมื่อเริ่มทานโอเมก้า 3 กลับมีอาการที่ดีขึ้น กรดไขมันโอเมก้า 3 มีสามประเภท ได้แก่ ALA, EPA และ DHA ในสามประเภทนี้ดูเหมือน EPA จะให้ผลที่ดีที่สุดในการจัดการกับภาวะซึมเศร้า จากการศึกษายังพบอีกว่า EPA มีประสิทธิภาพในการต่อต้านภาวะซึมเศร้าเช่นเดียวกับยากล่อมประสาททั่วไป

 

 

 

 

 

 

 

 

Like
ความคิดเห็น (0)
ก่อนหน้า 1 ถัดไป